วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

กัมพูชา...ประเทศที่รุ่งเรืองที่สุดในอดีต




หากกล่าวถึงประทศกัมพูชานั้น เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเก่าแก่ในอดีตที่สร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่งดงามจำนวนมาก เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆและสิ่งน่ารู้ที่เกี่ยวประเทศของกัมพูชาที่น่าสนใจอีกด้วย

เรียบเรียงโดย
บุษปรัชญ์ สายทอง
วิชญาณี อินทะเสย์




ที่ตั้ง : กัมพูชาตั้งอยู่กลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนทิศเหนือติดกับประเทศไทยและลาว ทิศตะวันออกติดกับประเทศเวียดนาม ทิศตะวันตกติดกับประเทศไทย และทิศใต้ติดกับอ่าวไทย


เมืองหลวง : เมืองพนมเปญ (Phnom Penh)

ภาษา : ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการ ภาษาที่ใช้ได้ทั่วไป ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เวียดนาม จีนและไทย

ศาสนา : ศาสนาประจำชาติ คือ ศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท และศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์

สกุลเงิน : เงินเรียล (Riel : KHR)

ระบอบการปกครอง : ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ

พระมหากษัตริย์ คือ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี(His Majesty Preah Bat Samdech Preah Boromneath Norodom Sihamoni)



5 สถานที่ท่องเที่ยวเมื่อมาเยือนกัมพูชาที่ไม่ควรพลาด!!!

1 วิมานเอกราชหรืออนุสาวรีย์อิสรภาพ
ที่ตั้ง อยู่ใจกลางของวงเวียน ถนนนโรดมสีหนุวิล กรุงพนมเปญ




ประวัติ สร้างขึ้นในปี 1958 เป็นอนุสาวรีย์ที่รำลึกถึงการได้เอกราชคืนจากฝรั่งเศส ออกแบบโดยสถาปนิกชาวกัมพูชา Vann Molyvann อนุสาวรีย์สร้างตามแบบศิลปะขอม ด้านบนสลักลวดลายดอกบัวตูมประดับด้วยหัวพญานาคโดยเลียนแบบมาจากนครวัด วิมานเอกราชแห่งนี้ยังใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุดของสงครามในกัมพูชา ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่เฉลิมฉลองเกี่ยวกับวันหยุดทางการเมือง เช่น วันเอกราช (7มกราคม) และ วันรัฐธรรมนูญ (24กันยายน)


2) ปราสาทบายน (Bayon)


        


สถานที่ตั้ง
อยู่ใจกลางเมืองพระนครธมทางทิศเหนือของเมืองเสียมเรียบ ประมาณ15 กิโลเมตร
ชื่อและความหมาย ชื่อบายสันนิษฐานว่ามาจากบายันต์ เนื่องจากผังเป็นทรงกลมคล้ายยันต์ หรือหมายถึงวิมานไพชนย์ของพระอินทร์

ประวัติ
เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สร้างในปลายรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อายุราวกลางพุทธศตวรรษที่18 และเป็นปราสาทขนาดใหญ่หลังสุดท้ายในศิลปะขอม โดยยังปรากฏหลักฐานว่ามีการสร้างที่ใดอีกปราสาทบายนเชื่อว่าสร้างขึ้นในคติของพุทธศาสนามหายาน โดยสถาปนาพระเจ้าชัยวรมันที่7 เป็นภาคหนึ่งของพระพุทธเจ้า (พระองค์สร้างปราสาทตาพรหมอุทิศถวายพระมารดาและยกพระมารดาขึ้นเป็นนางปรัชญาปารมิตาสร้างปราสาทพระขรรค์อุทิศถวายพระบิดา ยกพระบิดาขึ้นเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เมื่อสร้างปราสาทบายนแล้วจึงประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกไว้ที่ปราสาทหลังกลาง มีความหมายว่าพระองค์อวตารมาจากพระพุทธเจ้า เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า การสร้างสามสิ่งนี้เป็นคติทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับรัตนตรัยมหายาน)

ศาสนาและความเชื่อ
เป็นศาสนสถานทางพุทธศาสนาพุทธ นิกายมหายาน บูชาพระรัตนตรัยมหายาน ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระโพธสัตว์อวโลกิเตศวร และนางปรัชญาปารมิตา

ยุคสมัยทางศิลปะและการกำหนดอายุ
 เป็นศิลปะขอมสมัยบายน กำหนดอายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 (ประมาณ800กว่าปี)

ศิลปะและสถาปัตยกรรม
 เป็นปราสาทที่ตั้งกึ่งกลางของเมืองพระนครธม หันหน้าไปทางทิศตะวันออกตรงกับประตูที่เรียกว่า ประตูผี (ทิศตะวันออกของปราสาท)
ปราสาทบายนมีแผนผังแปลกไปกว่าปราสาทศิลปกรรมขอมอื่นๆ ตรงที่มีฐานไม่ค่อยสูงนักความคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา แผนผังปราสาทประธานเป็นทรงกลม รายล้อมไปด้วยซุ้มปราสาทรูปใบหน้า
บุคคลซุ้มละ 4หน้า จำนวนทั้งหมดประมาณ 50 กว่าซุ้ม 

บางเอกสารระบุว่ามี 54 ซุ้ม ซึ่งถ้าเป็นจริงจะตรงกันกับจำนวนเทวดาและอสูรที่ยุดนาคอยู่หน้าประตูเมืองทั้งห้า ที่มีด้านละ 54 องค์และตน ศาสตราจารย์ ดร.อุไรศรี วรศะริน กล่าวไว้เมื่อตอนนำเที่ยวปราสาทขอมในเมืองพระนครว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงขึ้นครองราชย์เมือพระชามายุ 54 พรรษา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะเป็นตัวเลขที่น่าสนใจและจะต้องค้นคว้ากันต่อไป

นอกจากปราสาทบายนจะเป็นปราสาทหลังใหญ่หลังสุดท้ายแล้ว ยังสร้างในปลายรัชกาลอีกด้วย เราจึงพบความเร่งรีบแสดงออกมาโดยเทคนิคการก่อสร้างที่เรียงหินไม่เหลื่อมกัน ทำให้ปราสาทไม่แข็งแรง พังทลายลงมาได้ง่าย ที่ช่องหน้าต่างซึ่งปกติจะเจาะแล้วกลึงลูกกรงมาประดับไว้ แต่ที่ปราสาทบายนทำโดยสลักเป็นช่องหน้าต่างตื้นๆเป็นรูปลูกกรง แล้วแสดงเป็นผ้าม่านปิดไว้

แผนผังปราสาทบายน
ปราสาทบายนยังมีความแปลกอีกประการหนึ่งคือ ช่างไม่ได้สร้างกำแพงล้อมรอบเหมือนปราสาทหลังอื่นๆ แต่ใช้กำแพงเมืองพระนครธมล้อมรอบแทน ทำให้ปราสาทบายนเป็นศูนย์กลางของเมืองพระนครธมอย่างแท้จริง


3)ปราสาทนครวัด Angkor Wat




สถานที่ตั้ง
 อยู่ทางทิศเหนือของเมืองเสียมเรียบ ประมาณ 10 กิโลเมตร ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งที่ก่อสร้างที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ด้วยความที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ แม้ว่าเทียบอายุกับแหล่งอารยธรรมอื่นๆของโลกนครวัดอาจจะมีอายุน้อยมากเพียงแค่900 ปีเศษ แต่ถ้าเทียบกันกับภูมิภาคเดียวกันที่วิวัฒนาการความเจริญเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป นครวัดดูโดดเด่นและก้าวหน้ามาก ขนาดแผนผังที่ใหญ่โต 

เชื่อกันว่ามีหินที่นำมาสร้างเป็นล้านก่อนจำนวนแรงงานคำนวณว่าต้องมีเป็นล้านๆคน มีแรงงานช้างเป็นพันๆเชือก มีหัวหน้าช่างที่มีประสบการณ์ในการสร้างปราสาทเป็นร้อยๆคน มีช่างฝีมือในการสลักหินนับพันคน และต้องมีแรงบันดาลใจที่สูงส่งมาก ทั้งหมดนี้จึงจะสามารถสร้างปราสาทนครวัดสำเร็จได้ในเวลาเกือบ 40 ปี โดยใช้เทคโนโลยีดั้งเดิมเมื่อ 900 ปีที่แล้ว

นครวัดในมุมมองของชาวกัมพูชาถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่บรรพชนได้สร้างไว้ให้เป็นมรดกอันล้ำค่าที่น่าภาคภูมิใจ ชาวกัมพูชาไม่เคยลืมเลือนปราสาทนครวัดของเขาเลย ทุกยุคสมัยนครวัดอยู่นความทรงจำเสมอ เมืองโบราณอื่นใดถูกปล่อยทิ้งร้างไปบ้าง แต่นครวัดไม่เคยร้างราคงมีชาวกัมพูชาดูแลรักษาไว้อย่างหวงแหนตลอดมา แม้ราชธานีจะโยกย้ายไปที่อื่น แต่ชาวกัมพูชาจะสลับผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลนครวัดเสมอ

ชื่อและความหมาย
ภาษาไทยเรียก นครวัด สำเนียงเขมรเรียก โนโกวัด สำเนียงฝรั่งเศสเรียก แองกอร์วัด(Angkor Wat) เพราะชื่อเดิมเป็นภาษาถิ่น จึงไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าแองกอร์วัด ซึ่งกลายเป็นชื่อสากลไปแล้ว
ที่มาของชื่อสันนิษฐานว่าเนื่องจากปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากเหมือนเป็นนคร เมื่อตอนแรกสร้างถูกใช้งานเป็นปราสาททางศาสนาพราหมณ์ ต่อมาเมื่อศาสนาพราหมณ์เสื่อมไป พุทธศาสนาเถรวาทได้

เผยแพร่เข้ามาแทนที่(หลังพุทธศตวรรษที่19) ได้มีการเข้าไปครอบครองใช้พื้นที่ของปราสาทประธานด้านบน ดัดแปลงให้เป็นวัดทางพุทธศาสนา (สังเกตจากร่องรอยที่มีการดัดแปลงพื้น ผนัง เสา ของปราสาทนครวัด) ชาวบ้านจึงเรียกปราสาทหลังนี้ว่า โนโกวัด หรือ นครวัด (เมืองที่มีวัด) นักวิชาการฝรั่งเศสได้ยินไปออกเสียงเป็น แองกอร์วัด ต่อมาได้มีการย้ายวัดลงมาด้านล่าง

ประวัติ
ปราสาทนครวัดสร้างโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่2 เมื่อปี พ..1656 ทรงปราบดาภิเษก โดยเอาชนะพระปิตุลา คือพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 และพระเจ้าธรณินทรวรมันที่1 ซึ่งครองราชย์ที่เมืองมหิทรปุระ มีหลักฐานเชื่อว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี พ..1688 รวมเวลาเกือบ 40 ปีในรัชกาล ทรงมีพระนามหลังความตายปรากฏในจารึกที่ผนังระเบียงคดชั้นที่ 2 ด้านทิศใต้นครวัดว่า บรมวิษณุโลก อาจหมายถึงพระวิษณุที่จุติอยู่ในโลก แสดงให้เห็นว่าทรงนับถือศาสนาพราหมณ์ลิทธิไวษณพนิกาย บูชาพระวิษณุ ปราสาทนครวัดจึงมีศิลปกรรมที่แสดงเรื่องราวอำนาจและพระเกียรติของพระวิษณุเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงรูปนางอัปสรที่มีจำนวนมากมาย ตามคัมภีร์ที่ว่าในวิษณุทวีปจะเต็มไปด้วยนางอัปสร

ศาสนาและความเชื่อ
เป็นศาสนสถานทางศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกาย

ยุคสมัยทางศิลปะและการกำหนดอายุ
จัดอยู่ในศิลปะขอมแบบนครวัด (สมัยที่13) กำหนดอายุราวต่อปลายพุทธศตวรรษที่ 17 (ประมาณ 900 ปี)

ขนาด
ปราสาทนครวัดมีเส้นรอบวงยาว 5 กิโลเมตร วัดจากคูน้ำด้านนอก มีแผนผังเป็นสี่เหลี่ยมเกือบเท่ากัน ด้านตะวันออกและตะวันตกยาวด้านละ 1,200 เมตร ด้านเหนือและด้านใต้ยาวด้านละ 1,400 เมตร มีพื้นที่ด้านในกว้างประมาณ 200 เฮกตาร์ (1เฮกตาร์ เท่ากับ 10,000 ตารางเมตร) หรือประมาณ 1,250 ไร่

แผนผังปราสาทนครวัด
เป็นแบบแกนที่วิ่งเข้าหาจุดศูนย์กลาง เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในศิลปะขอม หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีกำแพงล้อมรอบ 4 ชั้น ก่อนถึงปราสาทประธาน กำแพงด้านนอกสุดมีคูน้ำที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้านคูน้ำกว้าง 100 เมตร ด้านทิศตะวันตกมีสะพานนาคทอดข้ามคูน้ำเข้ามาที่กำแพงชั้นนอก มีซุ้มประตู (โคปุระ) 5 ประตู 3 ประตู อยู่แนวตรงกลางอีก 2 ประตู อยู่ด้านข้างสุดปลายระเบียงคด เจาะลึกระดับพื้นดิน กำแพงชั้นที่ 2 อยู่ลึกเข้ามา มีทางเดินเชื่อมระหว่างกำแพงชั้นนอกและชั้นที่ 2 ยาว 350 เมตร

ระเบียงคดชั้นที่ 2 มีเส้นรอบวงยาว 800 เมตร มีผนังด้านเดียว ก่อทึบ ขัดเรียบสลับภาพนูนต่ำไว้หมดทุกด้าน มีบางด้านที่สลักขึ้นใหม่ในสมัยหลัง (สมัยนักองค์จัน ราวพุทธศตวรรษที่ 21) คือด้านทิศเหนือปีกตะวันออก และด้านทิศตะวันออกปีกเหนือ

ระหว่างกำแพงชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 มีพื้นที่ว่างไม่มาก (ห่างกันราวๆ 20 เมตร) แต่ฐานของกำแพงชั้นที่ 3 ถูกยกสูงขึ้นไปมาก มีบันไดที่ซุ้มประตูแต่ละด้านแต่ละทิศสูงชันและแคบมาก

กำแพงชั้นที่ 3 ไม่ปรากฏภาพสลักนูนต่ำเหมือนชั้นที่ 2 มีเพียงผนังด้านนอกและด้านในที่สลักเป็นรูปนางอัปสร จัดวางไว้เป็นระยะไม่ต่อเนื่อง สลับกับหน้าต่างที่เจาะทะลุ มีลูกกรงลูกมะหวดประดับไว้ระหว่างกำแพงชั้นที่ 3 และชั้นที่ 4 มีบันไดที่สูงชันและแคบขึ้นลงได้ทางด้านทิศตะวันออกและตะวันตกด้านละ 3 ทาง ด้านทิศเหนือและทิศใต้ด้านละทางเดียวเมื่อขึ้นไปถึงกำแพงชั้นที่ 4 แล้ว มีระเบียงที่มีหลังคาคลุมเชื่อมถึงกันเป็นสี่เหลี่ยม และเชื่อมกับปราสาทประธานจากซุ้มประตูแต่ละทิศ ทำให้ด้านบนสุดของปราสาทมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยม และมีกากบาทอยู่ตรงกลาง

ตัวปราสาทประธานสูงจากพื้นดินประมาณ 60 เมตร มีประตูเข้า-ออกทั้งสี่ด้านแต่ปัจจุบัน ตรงกลางก่อปูนทึบปั้นเป็นพระพุทธรูปประทับยืนแสดงปางประทานอภัย (แบบกัมพูชา) ประดับไว้
ที่ผนังปราสาทประธานทำสูงต่ำและยกมุมไล่ระดับ ตามที่ว่างประดับด้วยภาพนูนต่ำเป็นนางอัปสรในกิริยาต่างๆ

ศิลปะและสถาปัตยกรรม
สมัยนี้ช่างประสบความสำเร็จในการออกแบบและก่อสร้างอาคารแบบปราสาทขอมนี้แล้ว พบว่าในส่วนของแผนผังและลวดลายมีความลงตัวหมด อาจเป็นเพราะว่าได้เรียนรู้ ทดลองกันมาเป็นเวลายาวนาน ศิลปะสมัยนี้จึงมีความเป็นตัวของตัวเอง

ทับหลัง
เป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ สลักรูปบุคคลขนาดเล็กเล่าเรื่องเหตุการณ์ ท่อนพวงมาลัยยังปรากฏอยู่ แต่เริ่มต้นจากจุดกึ่งกลางด้านล่างของทับหลังวกขึ้น แล้วฉีกออกด้านข้าง แล้ววกลงอีกครั้งหนึ่ง

เสาประดับกรอบประตู
เป็นเสาแปดเหลี่ยม เพิ่มจำนวนวงแหวนที่คาดมากขึ้น ทำให้แบ่งเสาเป็นแปดส่วน มีพื้นที่ให้สลักลายใบไม้ประดับเสาน้อย ใบไม้จึงลดขนาดใบเล็กลงแต่มีจำนวนใบถี่ขึ้นเป็นฟันเลื่อย

เครื่องแต่งกายของบุคคล
ที่โดดเด่นในสมัยนี้คือ ผ้านุ่งที่มีชายผ้าฉีกวกขึ้นแล้วโค้งตกลง


4) ทุ่งสังหาร(killing Fields) หรือ เจืองเอ็ก (Choeung Ek)



ที่ตั้ง
อยู่ห่างจากรุงพนมเปญ ระยะทาง 17 กิโลเมตร

ภูมิหลังเหตุการณ์ทางการเมือง
เริ่มต้นเกิดจากกองทัพเขมรแดง บุกเข้ายึดพนมเปญได้สำเร็จ คำว่า เขมรแดงเป็นชื่อที่สมเด็จนโรดม สีหนุ ใช้ตรัสเรียกกลุ่มฝ่ายซ้ายในกัมพูชา ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากขบวนการชาตินิยมที่เคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส ต่อมาได้กลายมาเป็นกลุ่มการเมืองซึ่งดำเนินนโยบายตามแนวทางสังคมนิยม เขมรแดงได้โค่นล้มรัฐบาลของจอมพลลอน นอล ลง แล้วสถาปนา รัฐบาลสหภาพประชาชาติกัมพูชา ขึ้นบริหารประเทศ 

โดยมีสมเด็จนโรดม สีหนุ ทรงดำแหล่งประมุขรัฐ และนายเขียว สำพัน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อมาวันที่ 5 มกราคม พ..1976 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกำหนดชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า กัมพูชาประชาธิปไตย
หลังจากนั้น 1ปี สมเด็จนโรดม สีหนุ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประมุขรัฐ และยกเลิกรัฐบาลดังกล่าว 

เพราะเหตุที่ เขมรแดงใช้พระองค์เป็นหุ่นเชิด เพื่อให้นานาประเทศรับรองเท่านั้น มิได้ให้อำนาจบริหารประเทศในกิจการใดๆ แด่พระองค์เลย ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรจึงลงมติให้นายเขียว สำพัน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และให้พอล พต ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

เขมรแดงได้นำทฤษฎี การก้าวกระโดดครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด(The Great leap Forward)ของประธานาธิบดี เหมา เจ๋อตุงมาบริหารประเทศ เปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาตนเอง ยกเลิกระบบเงินตรามุ่งพัฒนาประเทศให้เป็นชุมชนสหกรณ์ในอนาคต กลไกต่างๆทางสังคมหยุดนิ่ง ไม่มีศาสนา ไม่มีโรงเรียน ไม่มีตลาด ที่น่าเสียดายที่สุดคือตำราต่างๆ ที่เก็บรักษาไว้ในหอสมุดถูกทำลาย ทั้งนี้เพื่อให้การเริ่มต้นประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่เป็นไปอย่างสมบูรณ์

รัฐบาลเขมรแดง ได้อพยพประชาชนชาวพนมเปญออกไปอยู่ตามจังหวัดต่างๆและเรียกประชาชนกลุ่มนี้ว่า ประชาชนใหม่ เขมรแดงถือว่าประชาชนกลุ่มนี้เป็นพวกพวกกาฝากที่ เก็บไว้ก็ไม่ได้กำไร ถอนทิ้งก็ไม่ขาดทุน คนกลุ่มนี้มีชีวิตเหมือนถูกจองจำ ถูกบังคับให้ทำงานอย่างหนัก ได้รับการปันส่วนอาหารเพียงเล็กน้อย ไม่ได้รับการรักษาสาธารณสุขที่ดี 

นอกจากนี้เขมรแดงยังได้สังหารบรรดาข้าราชการในสมัยสาธารณรัฐกัมพูชารวมทั้งครอบครัวปัญญาชน และชนชาติต่างๆรวมทั้งชนกลุ่มน้อย อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต สันนิษฐานว่าในช่วง 3 ปี 8 เดือน 20วัน ที่เขมรแดงปกครองอยู่นั้น มีประชาชนเขมรบริสุทธิ์ต้องจบชีวิตลง ทั้งหมดประมาณ 1,671,000คน ซึ่งเป็นเหตุการณ์สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวเขมร หรือเรียกว่า เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ประวัติทุ่งสังหาร
จากเหตุการณ์ที่เขมรแดงได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเขมรด้วยกันจำนวนประมาณ 1ล้าน 7แสน คน ทุ่งสังหารแห่งนี้ ถือว่าเป็นสถานที่หนึ่งจากหลากหลายที่ทั่วประเทศกัมพูชาที่รัฐบาลเขมรแดงใช้เป็นที่สังหาร โดยรัฐบาลเขมรใช้รถบรรทุกนักโทษมาที่นี่วันละหลายสิบเที่ยว 
นักโทษเหล่านี้ส่วนใหญ่คือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกยัดข้อหาเท็จ ชาวบ้านธรรมดาไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงและเด็ก   ทหารเขมรแดงจะหลอกนักโทษว่า กำลังจะพาไปบ้านใหม่ ที่ทุกคนจะมีข้าวกิน เพื่อหลอกให้นักโทษตายใจจะได้ไม่หลบหนีระหว่างทาง เมื่อรถบรรทุกมาถึงทุ่งสังหารแล้วนักโทษจะถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าและไปคุกเข่าเรียงกันบริเวณขอบปากหลุม

 ทหารเขมรแดงก็จะทรมานและตีด้วยอาวุธต่างๆจนตาย  พอตายแล้วก็โยนทิ้งลงไปในหลุม ทุ่งแห่งนี้มีต้นไม้สังหารด้วย ทหารเขมรแดงจะจับเด็กๆ ฟาดเข้ากับต้นไม้ให้ตายเพื่อประหยัดกระสุน ณ ทุ่งแห่งนี้มีการเปิดเพลงปลุกใจดังก้องไปทั่วบริเวณเป็นการช่วยกลบเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของนักโทษ  สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่รำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ลักษณะปัจจุบัน
จัดเป็นสถานที่เปิดให้เข้าชมเพื่อรำลึกการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้าย มีการสร้างเป็นเจดีย์ทางพระพุทธศาสนา ภายในอาคารมีการจัดแสดงหัวกะโหลกของผู้เสียชีวิตและอาวุธที่ใช้สังหารให้ชม มีที่เก็บเสื้อผ้าของผู้ที่ถูกประหาร ส่วนด้านทางออกจะมีดอกไม้และธูปวางขาย ราคาประมาณ 15 บาท เพื่อให้นักท่องเที่ยวทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิต


 5)พิพิธภัณฑ์ตวลสเลง” (เรือนจำตวลสเลง หรือ S-21)




ที่ตั้ง
ตั้งอยู่ในกรุงพนมเปญ

ประวัติ
สถานที่เกิดในช่วงเขมรแดงเช่นเดียวกับทุ่งสังหาร  ประวัติศาสตร์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ของกัมพูชา ในปี 1975 กองกำลังของพลพต ซึ่งเป็นผู้นำเผด็จการสังคมนิยมในสมัยนั้นได้เข้ามายึดโรงเรียนมัธยม Tuol Svay Prey เขมรแดงเปลี่ยนโรงเรียนแห่งนี้ให้กลายเป็น Security Prison 21 นั่นคือคุกความมั่นคงหมายเลข 21 หรือที่เรียกกันว่า S-21 ซึ่งเป็นศูนย์กักกันที่น่ากลัวที่สุดในประเทศ ระหว่างปี 1975-1978 กองทัพเขมรแดงใช้ที่นี่เป็นที่ทรมานและสังหารคนกว่า 17,000 ชีวิต ร่างของประชาชนชายหญิงและเด็กผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายถูกนำไปยังอนุสาวรีย์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Choeung Ek ที่อยู่ใกล้กัน


FUN FACT AT CAMBODIA

1. ประชากรวัยใส


สาเหตุของการมีประชากรวัยเยาว์มากกว่าวัยอื่นๆเป็นเพราะ“การฆ่าเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง”จุดกำเนิดของเขมรแดงเริ่มมาจาก พอล พต ที่ถือว่าเป็นพี่ใหญ่ของเขมรแดง โดยในปี 1949 พอล พล ได้ไปศึกษาที่ปารีส เขาไม่ได้สนใจการเรียนจนคะแนนย่ำแย่ แต่กลับหมกมุ่นอ่าน “หนังสือก้าวหน้า” ที่เสนอความคิดของลัทธิมาร์กซ์ เข้าได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศสในอีก 2ปีต่อมา มีอุดมการณ์หลักคือการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศสและได้รับการสนับสนุนให้เป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยเนื่องจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ชอบพวกปัญญาชนเท่าไหร่นัก ในปี1953นายพอล พต ได้กลับมากัมพูชา และทำการให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ไปด้วย
จุดเปลี่ยนสำคัญของ “หายนะ” คือในปี1994 ฝรั่งเศสได้ให้เอกราชกับกัมพูชา หลังจากนั้นในปี1965 พอต พล ได้ไปที่โฮจิมินต์เพื่อของความช่วยเหลือจากประเทศคอมมิวนิวต์อย่างเวียดนามให้เข้ามาช่วยเหลือ แต่เวียดนามยื่นข้อเสนอให้พอต พลช่วยเวียดนามในการต่อสู้กับประเทศอเมริกาเสียก่อนแต่กลับผิดหวังเมื่ออเมริกาใช้ระเบิดจัดการพวกคอมมิวนิสต์เวียดนามและชาวกัมพูชาเป็นผู้รับเคราะห์จากการที่พอต พล สนับสนุนคอมมิวนิสต์เวียดนามทำให้มีปล่อยระเบิดมากมายในกัมพูชา
ด้วยความผิดหวัง พอล พตได้เดินทางต่อไปยังจีน และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ของจีนที่เป็นพวกซ้ายจัด เขาประทับใจกับการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนในช่วงแรกอย่างมากจึงไม่น่าประหลาดใจที่เขาจะนำอุดมการณ์ของจีนอย่างเช่นนโยบายการก้าวกระโดดไกล เข้ามาเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาประเทศ เมื่อพอล พต กลับมาที่กัมพูชาอีกครั้งในปี 1966 เหตุการณ์เป็นไปในรูปแบบที่เข้าข้างเขมรแดงเมื่อบรรดาชาวนาลุกฮือขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลของกษัตริย์สีหนุเพราะรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาข้าวได้ถึงแม้พรรคคอมมิวนิสต์จะไม่สามารถหยิบฉวยสถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ได้โดยตรงแต่ก็มีชาวกัมพูชาเข้าร่วมเป็นสมาชิกมากขึ้น ทำให้เขามีฐานอำนาจที่แข็งแรงหลังจากยึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์สหนุในปี1975
เขาได้บังคับประชาชนให้อพยพออกจากเมืองโดยด่วน ให้ข้ออ้างว่าหลบจากการทิ้งระเบิดของอเมริกาแต่มันไม่ใช้เช่นนั้น ช่วงที่เขมรแดงครองอำนาจเพียงสี่ปีคือ 1975 - 1979 ประมาณว่ามีชาวเขมรล้มตายถึง 2 ล้านคน จากประชากรทั้งหมดประมาณ 5.7-7.3 ล้านคน เพราะทนสภาพความเป็นอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินอดอยากยากแค้น โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ทุรกันดาร และอันตราย รวมถึการตายของคนเขมรที่เกิดจากน้ำมือของเขมรแดงด้วย เขมรแดงมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบเหวี่ยงแหเพราะพวกเขามีการกำจัดปัญญาชนทั้งหมด เนื่องจากกลัวว่า กลุ่มปัญญาชนจะกลับมาต่อต้านพวกเขา
แม้แต่คนใส่แว่นก็ถูกสังหารเพราะได้รับการสงสัยว่าอาจจะเป็นปัญญาชนผู้มีความรู้หรือแม้แต่เขมรแดงที่สนับคอมมิวนิวต์เวียดนามมีความคิดที่ต่างก็ถูกสังหารด้วยเช่นกันหลังจากเหตุการรอันเลวร้ายที่สุดของกัมพูชาได้จบสิ้นลงมีผลกระทบมากมายในกัมพูชาเนื่องจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดงที่สังหารพี่น้องร่วมชาติเขากว่าครึ่งประเทศ ทำให้ในทุกวันนี้กัมพูชาเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่มีประชากรวัยเยาว์
ปัจจุบันมีประชากรในวัยชรากัมพูชาส่วนใหญ่นั้นไม่รู้แม้กระทั่งวันเกิดตัวเองหรืออายุที่แน่ชัดของตัวเอง เพราะพ่อแม่ของพวกเขาถูกสังหารตั้งแต่เขายังเด็กจึงไม่ทราบถึงวันเกิดตัวที่แน่ชัดของตัวเอง กว่าครึ่งของประชากรกัมพูชาเป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า15 ซึ่ง68%ของประชากรกัมพูชาคือคนที่อายุน้อยกว่า 30 ปี ในขณะที่สถิติการเกิดมีมากกว่าสถิติการตายถึง 3 เท่า


2. ในน้ำมีปลา ในกัมพูชามีอาม็อก




เนื่องจากกัมพูชามีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์มากอย่าง โตนเลสาบ(Tonle Sap)ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดจากแม่น้ำโขงและแม่น้ำโขงและแม่น้ำสายย่อยๆไหลมารวมกันจนเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่โตนเลสาบนั้นเปรียบเสมือนเป็นสิ่งล่อเลี้ยงสำคัญของชาวกัมพูชาเป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งอาชีพทำกิน หรือแม้กระทั่งที่อยู่อาศัยเปรียได้กับเป็นทะเลสาบแห่งชีวิตของชาวกัมพูชาเลยทีเดียว 

ด้วยเหตุนี้ชาวกัมพูชาจึงผูกพันธ์กับน้ำทำให้มีการใช้สัตว์น้ำประเภท ปลา มาใช้ในการประกอบอาหารพื้นเมืองหลากหลายเมนู หนึ่งในนั้นคือ อาม็อก(Amok) ที่ถือได้ว่าเป็นอาหารประจำชาติของคนกัมพูชา  มีส่วนผสมของปลาเป็นหลัก กะทิ และเกรือง(ส่วนผสมเครื่องแกงพื้นฐานของกัมพูชา) นำไปนึ่งหรืออบให้สุก ในถ้วยหรือห่อด้วยใบตองลักษณะคล้ายกับห่อหมกของไทย มีอีกชื่อนึกเรียกว่า อาม็อก เตร็ย(Amok Trey)
               
3. แบบนี้...หยาบคาย




ในประเทศกัมพูชาและไทยมีความคิดที่ว่าหัวเป็น ของสูง และเท้าเป็นของ ของต่ำอันเนื่องมาจากคนในโบราณไม่ใส่รองเท้า  เพราะอากาศร้อน และมีอาชีพทำไร่ ไถ่นา ทำให้เท้าเปรอะโคลนตม เท้าจึงไม่ค่อยสะอาด เพราะเท้าเป็นอวัยวะ ที่อยู่ห่างไกลจากสายตามากกว่าส่วนอื่นๆของร่างกาย

และเท้าเป็นอวัยวะที่ห่างจากมือที่จะถูทำความสะอาดไกลที่สุด ทำความสะอาดได้ยากเท้าต้องย่ำไปกับพื้นไปตลอดเวลาทำให้มีความคิดว่าเท้านั้นเป็นของต่ำไม่สมควรใช้เท้าในการชี้หรือแสดงสิ่งอื่นโดยการใช้เท้า 
หากคุณไปที่ประเทศกัมพูชาต้องระวังการใช้เท้าให้ดีโดยเขาจะตัดสินคุณว่าคุณเป็นคนหยาบคายไม่ให้ความเคารพเขาทันที ถ้าคุณใช้เท้าแสดงการสื่อสารกับเขา

4. ระบำอัปสรา



 ประเทศกัมพูชาเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมประเพณีจึงมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ความเชื่อ และวิถีชีวิตของคนในประเทศ ศิลปวัฒนธรรม ที่เป็นเอกลักษณ์ หากพูดถึงกัมพูชาอีกอย่างนึงที่ต้องนึกถึงเลยก็คือระบำอัปสราถือกำเนิดขึ้นมาได้ไม่นานนักเป็นการแสดงนาฏศิลป์ที่โดดเด่นของกัมพูชา 

ซึ่งถอดแบบการแต่งกายและท่าร่ายรำมาจากภาพจำหลักรูปนางอัปสรที่ปราสาทนครวัด ระบำอัปสราถือกำเนิดมาจากจ้าหญิงบุพผาเทวี พระราชธิดาในเจ้าสีหนุ เป็นระบำที่เกิดขึ้นเพื่อเข้าฉากภาพยนตร์เกี่ยวกับนครวัดMarchel Camus ชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า L”Oiseau du Paradis ก็คือ The Bird of Paradise ด้วยท่วงท่าร่ายรำมีเอกลักษณ์ที่ถอดแบบมาจากนางอัปสราในนครวัดถือเป็นอุดมคติของสตรีกัมพูชา ดังนั้นการชุบชีวิตนางอัปสราออกมาเป็น ระบำระดับชาตินั้นมีความหมายในเชิงชาติพันธุ์นิยม(ความรักชาติ)  

สำหรับชาวกัมพูชาระบำอัปสราคือจิตวิญญาณและสมบัติอันใหญ่หลวงของชาติเลยก็ว่าได้ ในอดีต ระบำอัปสราจะแสดงเฉพาะในพระราชวังและให้ขุนนางรับชมเท่านั้น แต่ปัจจุบัน เมื่อหน่วยงานการท่องเที่ยวกัมพูชาพัฒนา และได้นำระบำอัปสราออกไปแสดงอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นเอกลักษณ์วัฒนธรรมของประเทศกัมพูชาเพื่อให้นักท่องเที่ยวทุกคนเมื่อเดินทางไปเยือนกัมพูชารับชมการแสดงระบำอัปสรา


5. ครั้ง  ใน 50ปี



กลางศตวรรษที่ผ่านมากัมพูชามีการเปลี่ยนชื่อมาแล้วหลายครั้ง เหตุผลหลักเลยคือการเปลี่ยนรัฐบาล ครั้งแรกที่มีการเปลี่ยนชื่อประเทศคือ หลังจากกษัตริย์ถูกรัฐประหารและลดอำนาจ  สาเหตุหลักของรัฐประหารคือการที่สมเด็จพระนโรดม สีหนุ หันไปสนับสนุนกิจกรรมของเวียดนามเหนือตามแนวชายแดนกัมพูชายอมให้มีมีการขนส่งอาวุธหนักของฝ่ายคอมมิวนิสต์ผ่านพื้นที่กัมพูชาตะวันออกและเศรษฐกิจของกัมพูชาได้รับผลกระทบจากนโยบายของสีหนุที่ประกาศเป็กลางและต่อต้านสหรัฐอเมริกา

นายพลลอน นอลผู้นำการรัฐประหารได้ล้มอำนาจของรัฐบาลเจ้านโรดม สีหนุ ในปี1970เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นสาธารณรัฐเขมรและแต่งตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดีและประมุขแห่งรัฐ  ต่อมารัฐบาลนายพลลอน นอล หมดอำนาจลง แม้ว่ารัฐบาลของสาธารณรัฐเขมรจะเป็นรัฐบาลทหารและได้รับการสนับสนุนทางทหารและการเงินจากสหรัฐอเมริกาแต่กองทัพของรัฐบาลนี้กลับอ่อนแอ ไม่ได้รับการฝึกฝนที่พอเพียงทำให้พ่ายแพ้ต่อกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนกัมพูชากองทัพประชาชนเวียดนามและเวียดกงฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามที่เป็นประเทศสนับสนุนหลักมีอำนาจในกัมพูชาและได้เข้ามาเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น สาธารณรัฐประชาชนกัมพูเจีย 

แต่เมื่อกัมพูชาตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาอารักขาระหว่างฝรั่งเศส-กัมพูชา ในสมัยพระนโรดม โดยในช่วงแรก ฝรั่งเศสปกครองกัมพูชาโดยไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการภายในมากนักและช่วยค้ำจุนราชบัลลังก์ของกัมพูชาโดยช่วยปราบกบฏต่างๆหลังจากยึดครองเวียดนามได้ทั้งหมด โดยพยายามลิดรอนอำนาจของกษัตริย์ และถูกเปลี่ยนชื่อประเทศอีกครั้งเป็นรัฐกัมพูชาและหลังจากฝรั่งเศสยอมมอบเอกราชให้แก่กษัตริย์กัมพูชาในค.ศ.1993 ประเทศนี้ได้เปลี่ยนชื่อกลับเป็นแบบเดิมคือ ราชอาณาจักรกัมพูชา





แหล่งอ้างอิง


- เอ็กซ์พีเดีย. พิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Tuol Sleng.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttps://www.expedia.co.th/
- ไทยรัฐ.ย้อน ‘ตำนานสังหารโหด’- โลกไม่มีวันลืม!! จำคุกตลอดชีวิต ‘นวน เจีย-เขียว สัมพัน’.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://www.thairath.co.th/content/441923
- ประชาไท.พอล พต เขมรแดงผู้จุดไฟนรกในกัมพูชา.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://prachatai.com/journal/2014/01/51483
- ชาญชัย คงเพียรธรรม. “รางวัล 7 มกรา”:กวีนิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เท่านั้นเองหรือ?.สืบค้นเมื่อวันที่18ตุลาคม2561,จากhttps://www.tci-thaijo.org
-วิกิพีเดีย.เกรือง.สืบค้นเมื่อวันที่18ตุลาคม2561, จากhttps://th.wikipedia.org/
-วิกิพีเดีย.ประเทศกัมพูชา.สืบค้นเมื่อวันที่18ตุลาคม2561,จาก https://th.wikipedia.org/wiki/
-ศูนย์ข้อมูลข่าวอาเซียนกรมประชาสัมพันธ์.กัมพูชาภายใต้การปกครองของเวียดนาม(พ.ศ.2522-2534).สืบค้นเมื่อวันที่18 ตุลาคม 2561,จากhttp://www.aseanthai.net
- 14 surprising facts about Cambodia you should learn today .สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://passportsymphony.com/14-surprising-facts-about-cambodia/
-AEC10NEWS.โตนเลสาบ...วิถีอัศจรรย์ของมนุษย์.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttp://www.aec10news.com/
-ASEANCulture.วัฒนธรรมกัมพูชา.สืบค้นเมื่อวันที่18ตุลาคม2561, จาก https://aseanculture.wordpress.com/
- jobdst.ว่าด้วยเรื่อง"ควรทำ"และ"ไม่ควรทำ" ใน 10 ประเทศอาเซียน(ตอนที่ 2).สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม2561,จากhttp://jobdst.com/i
- Nomadicboys. 10 INTERESTING FACTS ABOUT CAMBODIA.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://nomadicboys.com/interesting-facts-about-cambodia/
- Pantip.เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ "พระราชฐานชั้นใน" ของพระบรมมหาราชวัง.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://pantip.com/topic/35737773
- posttoday. โตนเลสาบ วิถีคนบนผืนน้ำแห่งกัมพูชา.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttps://www.posttoday.com/travel/286396

- seasia. 15 Fun Facts About Cambodia You Probably Didn't Know.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561,จากhttps://seasia.co/2018/02/17/15-fun-facts-about-cambodia-you-probably-didn-t-know
- Vocation trip at Cambodia.ทุ่งสังหารเจืองเอ็ก ( CHOEUNG EK ).สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttp://hometheatrefrisco.com/choeung-ek/
- YAHOO.ทำไมคนต่างชาติเขาถึงไม่ถือว่าอวัยวะอย่างขาหรือเท้าเป็นของต่ำ?. สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม2561,จากhttps://th.answers.yahoo.com
- zabzaa.com.อาหารประจําชาติ กัมพูชา อาม็อก (Amok). สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttp://www.zabzaa.com/
-little GREY BOX. 28 Things you absolutely must know before you visit Cambodia.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://littlegreybox.net/

-TNT MAGAZINE.12 fact you didn’t know about Cambodia. สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttp://www.tntmagazine.com
-Wegointer.เมื่อชาวต่างชาติเขียนบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “10 วัฒนธรรมแปลกของคนไทย”. สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://www.wegointer.com/
-Wikiwand.สงครามกลางเมืองกัมพูชา.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561,จาก http://www.wikiwand.com/th/


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น