หากกล่าวถึงประทศกัมพูชานั้น เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเก่าแก่ในอดีตที่สร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่งดงามจำนวนมาก เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆและสิ่งน่ารู้ที่เกี่ยวประเทศของกัมพูชาที่น่าสนใจอีกด้วย
เรียบเรียงโดย
บุษปรัชญ์ สายทอง
วิชญาณี อินทะเสย์
ที่ตั้ง : กัมพูชาตั้งอยู่กลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนทิศเหนือติดกับประเทศไทยและลาว ทิศตะวันออกติดกับประเทศเวียดนาม ทิศตะวันตกติดกับประเทศไทย และทิศใต้ติดกับอ่าวไทย
เมืองหลวง : เมืองพนมเปญ (Phnom Penh)
ภาษา : ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการ ภาษาที่ใช้ได้ทั่วไป ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เวียดนาม จีนและไทย
ศาสนา : ศาสนาประจำชาติ คือ ศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท และศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์
สกุลเงิน : เงินเรียล (Riel : KHR)
ระบอบการปกครอง : ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
พระมหากษัตริย์ คือ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี(His Majesty Preah Bat Samdech Preah Boromneath Norodom Sihamoni)
5 สถานที่ท่องเที่ยวเมื่อมาเยือนกัมพูชาที่ไม่ควรพลาด!!!
1 วิมานเอกราชหรืออนุสาวรีย์อิสรภาพ
ที่ตั้ง อยู่ใจกลางของวงเวียน ถนนนโรดมสีหนุวิล กรุงพนมเปญ
ประวัติ สร้างขึ้นในปี 1958 เป็นอนุสาวรีย์ที่รำลึกถึงการได้เอกราชคืนจากฝรั่งเศส ออกแบบโดยสถาปนิกชาวกัมพูชา Vann Molyvann อนุสาวรีย์สร้างตามแบบศิลปะขอม ด้านบนสลักลวดลายดอกบัวตูมประดับด้วยหัวพญานาคโดยเลียนแบบมาจากนครวัด วิมานเอกราชแห่งนี้ยังใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุดของสงครามในกัมพูชา ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่เฉลิมฉลองเกี่ยวกับวันหยุดทางการเมือง เช่น วันเอกราช (7มกราคม) และ วันรัฐธรรมนูญ (24กันยายน)
ที่ตั้ง อยู่ใจกลางของวงเวียน ถนนนโรดมสีหนุวิล กรุงพนมเปญ
2) ปราสาทบายน (Bayon)
สถานที่ตั้ง
อยู่ใจกลางเมืองพระนครธมทางทิศเหนือของเมืองเสียมเรียบ
ประมาณ15 กิโลเมตร
ชื่อและความหมาย
ชื่อบายสันนิษฐานว่ามาจากบายันต์ เนื่องจากผังเป็นทรงกลมคล้ายยันต์
หรือหมายถึงวิมานไพชนย์ของพระอินทร์
ประวัติ
เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สร้างในปลายรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อายุราวกลางพุทธศตวรรษที่18 และเป็นปราสาทขนาดใหญ่หลังสุดท้ายในศิลปะขอม โดยยังปรากฏหลักฐานว่ามีการสร้างที่ใดอีกปราสาทบายนเชื่อว่าสร้างขึ้นในคติของพุทธศาสนามหายาน โดยสถาปนาพระเจ้าชัยวรมันที่7 เป็นภาคหนึ่งของพระพุทธเจ้า (พระองค์สร้างปราสาทตาพรหมอุทิศถวายพระมารดาและยกพระมารดาขึ้นเป็นนางปรัชญาปารมิตาสร้างปราสาทพระขรรค์อุทิศถวายพระบิดา ยกพระบิดาขึ้นเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เมื่อสร้างปราสาทบายนแล้วจึงประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกไว้ที่ปราสาทหลังกลาง มีความหมายว่าพระองค์อวตารมาจากพระพุทธเจ้า เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า การสร้างสามสิ่งนี้เป็นคติทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับรัตนตรัยมหายาน)
เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สร้างในปลายรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อายุราวกลางพุทธศตวรรษที่18 และเป็นปราสาทขนาดใหญ่หลังสุดท้ายในศิลปะขอม โดยยังปรากฏหลักฐานว่ามีการสร้างที่ใดอีกปราสาทบายนเชื่อว่าสร้างขึ้นในคติของพุทธศาสนามหายาน โดยสถาปนาพระเจ้าชัยวรมันที่7 เป็นภาคหนึ่งของพระพุทธเจ้า (พระองค์สร้างปราสาทตาพรหมอุทิศถวายพระมารดาและยกพระมารดาขึ้นเป็นนางปรัชญาปารมิตาสร้างปราสาทพระขรรค์อุทิศถวายพระบิดา ยกพระบิดาขึ้นเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เมื่อสร้างปราสาทบายนแล้วจึงประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกไว้ที่ปราสาทหลังกลาง มีความหมายว่าพระองค์อวตารมาจากพระพุทธเจ้า เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า การสร้างสามสิ่งนี้เป็นคติทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับรัตนตรัยมหายาน)
ศาสนาและความเชื่อ
เป็นศาสนสถานทางพุทธศาสนาพุทธ
นิกายมหายาน บูชาพระรัตนตรัยมหายาน ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระโพธสัตว์อวโลกิเตศวร
และนางปรัชญาปารมิตา
ยุคสมัยทางศิลปะและการกำหนดอายุ
เป็นศิลปะขอมสมัยบายน
กำหนดอายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 (ประมาณ800กว่าปี)
ศิลปะและสถาปัตยกรรม
เป็นปราสาทที่ตั้งกึ่งกลางของเมืองพระนครธม หันหน้าไปทางทิศตะวันออกตรงกับประตูที่เรียกว่า ประตูผี (ทิศตะวันออกของปราสาท)
เป็นปราสาทที่ตั้งกึ่งกลางของเมืองพระนครธม หันหน้าไปทางทิศตะวันออกตรงกับประตูที่เรียกว่า ประตูผี (ทิศตะวันออกของปราสาท)
ปราสาทบายนมีแผนผังแปลกไปกว่าปราสาทศิลปกรรมขอมอื่นๆ
ตรงที่มีฐานไม่ค่อยสูงนักความคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา
แผนผังปราสาทประธานเป็นทรงกลม รายล้อมไปด้วยซุ้มปราสาทรูปใบหน้า
บุคคลซุ้มละ 4หน้า จำนวนทั้งหมดประมาณ 50 กว่าซุ้ม
บางเอกสารระบุว่ามี 54 ซุ้ม ซึ่งถ้าเป็นจริงจะตรงกันกับจำนวนเทวดาและอสูรที่ยุดนาคอยู่หน้าประตูเมืองทั้งห้า ที่มีด้านละ 54 องค์และตน ศาสตราจารย์ ดร.อุไรศรี วรศะริน กล่าวไว้เมื่อตอนนำเที่ยวปราสาทขอมในเมืองพระนครว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงขึ้นครองราชย์เมือพระชามายุ 54 พรรษา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะเป็นตัวเลขที่น่าสนใจและจะต้องค้นคว้ากันต่อไป
บุคคลซุ้มละ 4หน้า จำนวนทั้งหมดประมาณ 50 กว่าซุ้ม
บางเอกสารระบุว่ามี 54 ซุ้ม ซึ่งถ้าเป็นจริงจะตรงกันกับจำนวนเทวดาและอสูรที่ยุดนาคอยู่หน้าประตูเมืองทั้งห้า ที่มีด้านละ 54 องค์และตน ศาสตราจารย์ ดร.อุไรศรี วรศะริน กล่าวไว้เมื่อตอนนำเที่ยวปราสาทขอมในเมืองพระนครว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงขึ้นครองราชย์เมือพระชามายุ 54 พรรษา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะเป็นตัวเลขที่น่าสนใจและจะต้องค้นคว้ากันต่อไป
นอกจากปราสาทบายนจะเป็นปราสาทหลังใหญ่หลังสุดท้ายแล้ว
ยังสร้างในปลายรัชกาลอีกด้วย
เราจึงพบความเร่งรีบแสดงออกมาโดยเทคนิคการก่อสร้างที่เรียงหินไม่เหลื่อมกัน
ทำให้ปราสาทไม่แข็งแรง พังทลายลงมาได้ง่าย ที่ช่องหน้าต่างซึ่งปกติจะเจาะแล้วกลึงลูกกรงมาประดับไว้
แต่ที่ปราสาทบายนทำโดยสลักเป็นช่องหน้าต่างตื้นๆเป็นรูปลูกกรง
แล้วแสดงเป็นผ้าม่านปิดไว้
แผนผังปราสาทบายน
ปราสาทบายนยังมีความแปลกอีกประการหนึ่งคือ
ช่างไม่ได้สร้างกำแพงล้อมรอบเหมือนปราสาทหลังอื่นๆ แต่ใช้กำแพงเมืองพระนครธมล้อมรอบแทน
ทำให้ปราสาทบายนเป็นศูนย์กลางของเมืองพระนครธมอย่างแท้จริง
3)ปราสาทนครวัด Angkor
Wat
สถานที่ตั้ง
อยู่ทางทิศเหนือของเมืองเสียมเรียบ ประมาณ 10 กิโลเมตร ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งที่ก่อสร้างที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ด้วยความที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ แม้ว่าเทียบอายุกับแหล่งอารยธรรมอื่นๆของโลกนครวัดอาจจะมีอายุน้อยมากเพียงแค่900 ปีเศษ แต่ถ้าเทียบกันกับภูมิภาคเดียวกันที่วิวัฒนาการความเจริญเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป นครวัดดูโดดเด่นและก้าวหน้ามาก ขนาดแผนผังที่ใหญ่โต
เชื่อกันว่ามีหินที่นำมาสร้างเป็นล้านก่อนจำนวนแรงงานคำนวณว่าต้องมีเป็นล้านๆคน มีแรงงานช้างเป็นพันๆเชือก มีหัวหน้าช่างที่มีประสบการณ์ในการสร้างปราสาทเป็นร้อยๆคน มีช่างฝีมือในการสลักหินนับพันคน และต้องมีแรงบันดาลใจที่สูงส่งมาก ทั้งหมดนี้จึงจะสามารถสร้างปราสาทนครวัดสำเร็จได้ในเวลาเกือบ 40 ปี โดยใช้เทคโนโลยีดั้งเดิมเมื่อ 900 ปีที่แล้ว
อยู่ทางทิศเหนือของเมืองเสียมเรียบ ประมาณ 10 กิโลเมตร ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งที่ก่อสร้างที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ด้วยความที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ แม้ว่าเทียบอายุกับแหล่งอารยธรรมอื่นๆของโลกนครวัดอาจจะมีอายุน้อยมากเพียงแค่900 ปีเศษ แต่ถ้าเทียบกันกับภูมิภาคเดียวกันที่วิวัฒนาการความเจริญเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป นครวัดดูโดดเด่นและก้าวหน้ามาก ขนาดแผนผังที่ใหญ่โต
เชื่อกันว่ามีหินที่นำมาสร้างเป็นล้านก่อนจำนวนแรงงานคำนวณว่าต้องมีเป็นล้านๆคน มีแรงงานช้างเป็นพันๆเชือก มีหัวหน้าช่างที่มีประสบการณ์ในการสร้างปราสาทเป็นร้อยๆคน มีช่างฝีมือในการสลักหินนับพันคน และต้องมีแรงบันดาลใจที่สูงส่งมาก ทั้งหมดนี้จึงจะสามารถสร้างปราสาทนครวัดสำเร็จได้ในเวลาเกือบ 40 ปี โดยใช้เทคโนโลยีดั้งเดิมเมื่อ 900 ปีที่แล้ว
นครวัดในมุมมองของชาวกัมพูชาถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่บรรพชนได้สร้างไว้ให้เป็นมรดกอันล้ำค่าที่น่าภาคภูมิใจ
ชาวกัมพูชาไม่เคยลืมเลือนปราสาทนครวัดของเขาเลย ทุกยุคสมัยนครวัดอยู่นความทรงจำเสมอ
เมืองโบราณอื่นใดถูกปล่อยทิ้งร้างไปบ้าง
แต่นครวัดไม่เคยร้างราคงมีชาวกัมพูชาดูแลรักษาไว้อย่างหวงแหนตลอดมา
แม้ราชธานีจะโยกย้ายไปที่อื่น แต่ชาวกัมพูชาจะสลับผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลนครวัดเสมอ
ชื่อและความหมาย
ภาษาไทยเรียก
นครวัด สำเนียงเขมรเรียก โนโกวัด สำเนียงฝรั่งเศสเรียก แองกอร์วัด(Angkor
Wat) เพราะชื่อเดิมเป็นภาษาถิ่น
จึงไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าแองกอร์วัด ซึ่งกลายเป็นชื่อสากลไปแล้ว
ที่มาของชื่อสันนิษฐานว่าเนื่องจากปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากเหมือนเป็นนคร
เมื่อตอนแรกสร้างถูกใช้งานเป็นปราสาททางศาสนาพราหมณ์
ต่อมาเมื่อศาสนาพราหมณ์เสื่อมไป พุทธศาสนาเถรวาทได้
เผยแพร่เข้ามาแทนที่(หลังพุทธศตวรรษที่19) ได้มีการเข้าไปครอบครองใช้พื้นที่ของปราสาทประธานด้านบน ดัดแปลงให้เป็นวัดทางพุทธศาสนา (สังเกตจากร่องรอยที่มีการดัดแปลงพื้น ผนัง เสา ของปราสาทนครวัด) ชาวบ้านจึงเรียกปราสาทหลังนี้ว่า โนโกวัด หรือ นครวัด (เมืองที่มีวัด) นักวิชาการฝรั่งเศสได้ยินไปออกเสียงเป็น แองกอร์วัด ต่อมาได้มีการย้ายวัดลงมาด้านล่าง
เผยแพร่เข้ามาแทนที่(หลังพุทธศตวรรษที่19) ได้มีการเข้าไปครอบครองใช้พื้นที่ของปราสาทประธานด้านบน ดัดแปลงให้เป็นวัดทางพุทธศาสนา (สังเกตจากร่องรอยที่มีการดัดแปลงพื้น ผนัง เสา ของปราสาทนครวัด) ชาวบ้านจึงเรียกปราสาทหลังนี้ว่า โนโกวัด หรือ นครวัด (เมืองที่มีวัด) นักวิชาการฝรั่งเศสได้ยินไปออกเสียงเป็น แองกอร์วัด ต่อมาได้มีการย้ายวัดลงมาด้านล่าง
ประวัติ
ปราสาทนครวัดสร้างโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่2
เมื่อปี พ.ศ.1656 ทรงปราบดาภิเษก
โดยเอาชนะพระปิตุลา คือพระเจ้าชัยวรมันที่ 6
และพระเจ้าธรณินทรวรมันที่1 ซึ่งครองราชย์ที่เมืองมหิทรปุระ
มีหลักฐานเชื่อว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ.1688 รวมเวลาเกือบ 40 ปีในรัชกาล
ทรงมีพระนามหลังความตายปรากฏในจารึกที่ผนังระเบียงคดชั้นที่ 2 ด้านทิศใต้นครวัดว่า “บรมวิษณุโลก” อาจหมายถึงพระวิษณุที่จุติอยู่ในโลก แสดงให้เห็นว่าทรงนับถือศาสนาพราหมณ์ลิทธิไวษณพนิกาย
บูชาพระวิษณุ
ปราสาทนครวัดจึงมีศิลปกรรมที่แสดงเรื่องราวอำนาจและพระเกียรติของพระวิษณุเป็นส่วนใหญ่
รวมถึงรูปนางอัปสรที่มีจำนวนมากมาย ตามคัมภีร์ที่ว่าในวิษณุทวีปจะเต็มไปด้วยนางอัปสร
ศาสนาและความเชื่อ
เป็นศาสนสถานทางศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกาย
ยุคสมัยทางศิลปะและการกำหนดอายุ
จัดอยู่ในศิลปะขอมแบบนครวัด
(สมัยที่13) กำหนดอายุราวต่อปลายพุทธศตวรรษที่ 17 (ประมาณ 900 ปี)
ขนาด
ปราสาทนครวัดมีเส้นรอบวงยาว 5 กิโลเมตร วัดจากคูน้ำด้านนอก มีแผนผังเป็นสี่เหลี่ยมเกือบเท่ากัน ด้านตะวันออกและตะวันตกยาวด้านละ 1,200 เมตร ด้านเหนือและด้านใต้ยาวด้านละ 1,400 เมตร มีพื้นที่ด้านในกว้างประมาณ 200 เฮกตาร์ (1เฮกตาร์ เท่ากับ 10,000 ตารางเมตร) หรือประมาณ 1,250 ไร่
ปราสาทนครวัดมีเส้นรอบวงยาว 5 กิโลเมตร วัดจากคูน้ำด้านนอก มีแผนผังเป็นสี่เหลี่ยมเกือบเท่ากัน ด้านตะวันออกและตะวันตกยาวด้านละ 1,200 เมตร ด้านเหนือและด้านใต้ยาวด้านละ 1,400 เมตร มีพื้นที่ด้านในกว้างประมาณ 200 เฮกตาร์ (1เฮกตาร์ เท่ากับ 10,000 ตารางเมตร) หรือประมาณ 1,250 ไร่
แผนผังปราสาทนครวัด
เป็นแบบแกนที่วิ่งเข้าหาจุดศูนย์กลาง เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในศิลปะขอม หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีกำแพงล้อมรอบ 4 ชั้น ก่อนถึงปราสาทประธาน กำแพงด้านนอกสุดมีคูน้ำที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้านคูน้ำกว้าง 100 เมตร ด้านทิศตะวันตกมีสะพานนาคทอดข้ามคูน้ำเข้ามาที่กำแพงชั้นนอก มีซุ้มประตู (โคปุระ) 5 ประตู 3 ประตู อยู่แนวตรงกลางอีก 2 ประตู อยู่ด้านข้างสุดปลายระเบียงคด เจาะลึกระดับพื้นดิน กำแพงชั้นที่ 2 อยู่ลึกเข้ามา มีทางเดินเชื่อมระหว่างกำแพงชั้นนอกและชั้นที่ 2 ยาว 350 เมตร
เป็นแบบแกนที่วิ่งเข้าหาจุดศูนย์กลาง เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในศิลปะขอม หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีกำแพงล้อมรอบ 4 ชั้น ก่อนถึงปราสาทประธาน กำแพงด้านนอกสุดมีคูน้ำที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้านคูน้ำกว้าง 100 เมตร ด้านทิศตะวันตกมีสะพานนาคทอดข้ามคูน้ำเข้ามาที่กำแพงชั้นนอก มีซุ้มประตู (โคปุระ) 5 ประตู 3 ประตู อยู่แนวตรงกลางอีก 2 ประตู อยู่ด้านข้างสุดปลายระเบียงคด เจาะลึกระดับพื้นดิน กำแพงชั้นที่ 2 อยู่ลึกเข้ามา มีทางเดินเชื่อมระหว่างกำแพงชั้นนอกและชั้นที่ 2 ยาว 350 เมตร
ระเบียงคดชั้นที่ 2 มีเส้นรอบวงยาว 800 เมตร มีผนังด้านเดียว ก่อทึบ ขัดเรียบสลับภาพนูนต่ำไว้หมดทุกด้าน
มีบางด้านที่สลักขึ้นใหม่ในสมัยหลัง (สมัยนักองค์จัน ราวพุทธศตวรรษที่ 21) คือด้านทิศเหนือปีกตะวันออก และด้านทิศตะวันออกปีกเหนือ
ระหว่างกำแพงชั้นที่
2 และชั้นที่ 3 มีพื้นที่ว่างไม่มาก (ห่างกันราวๆ 20 เมตร) แต่ฐานของกำแพงชั้นที่ 3 ถูกยกสูงขึ้นไปมาก
มีบันไดที่ซุ้มประตูแต่ละด้านแต่ละทิศสูงชันและแคบมาก
กำแพงชั้นที่
3
ไม่ปรากฏภาพสลักนูนต่ำเหมือนชั้นที่ 2
มีเพียงผนังด้านนอกและด้านในที่สลักเป็นรูปนางอัปสร จัดวางไว้เป็นระยะไม่ต่อเนื่อง
สลับกับหน้าต่างที่เจาะทะลุ มีลูกกรงลูกมะหวดประดับไว้ระหว่างกำแพงชั้นที่
3 และชั้นที่ 4
มีบันไดที่สูงชันและแคบขึ้นลงได้ทางด้านทิศตะวันออกและตะวันตกด้านละ 3 ทาง ด้านทิศเหนือและทิศใต้ด้านละทางเดียวเมื่อขึ้นไปถึงกำแพงชั้นที่
4
แล้ว มีระเบียงที่มีหลังคาคลุมเชื่อมถึงกันเป็นสี่เหลี่ยม
และเชื่อมกับปราสาทประธานจากซุ้มประตูแต่ละทิศ
ทำให้ด้านบนสุดของปราสาทมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยม และมีกากบาทอยู่ตรงกลาง
ตัวปราสาทประธานสูงจากพื้นดินประมาณ
60 เมตร มีประตูเข้า-ออกทั้งสี่ด้านแต่ปัจจุบัน
ตรงกลางก่อปูนทึบปั้นเป็นพระพุทธรูปประทับยืนแสดงปางประทานอภัย (แบบกัมพูชา)
ประดับไว้
ที่ผนังปราสาทประธานทำสูงต่ำและยกมุมไล่ระดับ
ตามที่ว่างประดับด้วยภาพนูนต่ำเป็นนางอัปสรในกิริยาต่างๆ
ศิลปะและสถาปัตยกรรม
สมัยนี้ช่างประสบความสำเร็จในการออกแบบและก่อสร้างอาคารแบบปราสาทขอมนี้แล้ว
พบว่าในส่วนของแผนผังและลวดลายมีความลงตัวหมด อาจเป็นเพราะว่าได้เรียนรู้
ทดลองกันมาเป็นเวลายาวนาน ศิลปะสมัยนี้จึงมีความเป็นตัวของตัวเอง
ทับหลัง
เป็นแผ่นหินขนาดใหญ่
สลักรูปบุคคลขนาดเล็กเล่าเรื่องเหตุการณ์ ท่อนพวงมาลัยยังปรากฏอยู่
แต่เริ่มต้นจากจุดกึ่งกลางด้านล่างของทับหลังวกขึ้น แล้วฉีกออกด้านข้าง
แล้ววกลงอีกครั้งหนึ่ง
เสาประดับกรอบประตู
เป็นเสาแปดเหลี่ยม
เพิ่มจำนวนวงแหวนที่คาดมากขึ้น ทำให้แบ่งเสาเป็นแปดส่วน
มีพื้นที่ให้สลักลายใบไม้ประดับเสาน้อย
ใบไม้จึงลดขนาดใบเล็กลงแต่มีจำนวนใบถี่ขึ้นเป็นฟันเลื่อย
เครื่องแต่งกายของบุคคล
ที่โดดเด่นในสมัยนี้คือ
ผ้านุ่งที่มีชายผ้าฉีกวกขึ้นแล้วโค้งตกลง
4) ทุ่งสังหาร(killing Fields) หรือ เจืองเอ็ก (Choeung Ek)
ที่ตั้ง
อยู่ห่างจากรุงพนมเปญ ระยะทาง 17 กิโลเมตร
ภูมิหลังเหตุการณ์ทางการเมือง
เริ่มต้นเกิดจากกองทัพเขมรแดง บุกเข้ายึดพนมเปญได้สำเร็จ คำว่า “เขมรแดง” เป็นชื่อที่สมเด็จนโรดม สีหนุ ใช้ตรัสเรียกกลุ่มฝ่ายซ้ายในกัมพูชา ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากขบวนการชาตินิยมที่เคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส ต่อมาได้กลายมาเป็นกลุ่มการเมืองซึ่งดำเนินนโยบายตามแนวทางสังคมนิยม เขมรแดงได้โค่นล้มรัฐบาลของจอมพลลอน นอล ลง แล้วสถาปนา “รัฐบาลสหภาพประชาชาติกัมพูชา” ขึ้นบริหารประเทศ
โดยมีสมเด็จนโรดม สีหนุ ทรงดำแหล่งประมุขรัฐ และนายเขียว สำพัน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อมาวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.1976 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกำหนดชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า “กัมพูชาประชาธิปไตย”
เริ่มต้นเกิดจากกองทัพเขมรแดง บุกเข้ายึดพนมเปญได้สำเร็จ คำว่า “เขมรแดง” เป็นชื่อที่สมเด็จนโรดม สีหนุ ใช้ตรัสเรียกกลุ่มฝ่ายซ้ายในกัมพูชา ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากขบวนการชาตินิยมที่เคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส ต่อมาได้กลายมาเป็นกลุ่มการเมืองซึ่งดำเนินนโยบายตามแนวทางสังคมนิยม เขมรแดงได้โค่นล้มรัฐบาลของจอมพลลอน นอล ลง แล้วสถาปนา “รัฐบาลสหภาพประชาชาติกัมพูชา” ขึ้นบริหารประเทศ
โดยมีสมเด็จนโรดม สีหนุ ทรงดำแหล่งประมุขรัฐ และนายเขียว สำพัน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อมาวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.1976 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกำหนดชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า “กัมพูชาประชาธิปไตย”
หลังจากนั้น
1ปี สมเด็จนโรดม สีหนุ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประมุขรัฐ
และยกเลิกรัฐบาลดังกล่าว
เพราะเหตุที่ เขมรแดงใช้พระองค์เป็นหุ่นเชิด เพื่อให้นานาประเทศรับรองเท่านั้น มิได้ให้อำนาจบริหารประเทศในกิจการใดๆ แด่พระองค์เลย ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรจึงลงมติให้นายเขียว สำพัน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และให้พอล พต ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เพราะเหตุที่ เขมรแดงใช้พระองค์เป็นหุ่นเชิด เพื่อให้นานาประเทศรับรองเท่านั้น มิได้ให้อำนาจบริหารประเทศในกิจการใดๆ แด่พระองค์เลย ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรจึงลงมติให้นายเขียว สำพัน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และให้พอล พต ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เขมรแดงได้นำทฤษฎี
“การก้าวกระโดดครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”(The
Great leap Forward)ของประธานาธิบดี เหมา เจ๋อตุงมาบริหารประเทศ
เปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นสังคมเกษตรกรรมแบบพึ่งพาตนเอง ยกเลิกระบบเงินตรามุ่งพัฒนาประเทศให้เป็นชุมชนสหกรณ์ในอนาคต
กลไกต่างๆทางสังคมหยุดนิ่ง ไม่มีศาสนา ไม่มีโรงเรียน ไม่มีตลาด
ที่น่าเสียดายที่สุดคือตำราต่างๆ ที่เก็บรักษาไว้ในหอสมุดถูกทำลาย
ทั้งนี้เพื่อให้การเริ่มต้นประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่เป็นไปอย่างสมบูรณ์
รัฐบาลเขมรแดง
ได้อพยพประชาชนชาวพนมเปญออกไปอยู่ตามจังหวัดต่างๆและเรียกประชาชนกลุ่มนี้ว่า “ประชาชนใหม่” เขมรแดงถือว่าประชาชนกลุ่มนี้เป็นพวก
“พวกกาฝาก”ที่ “เก็บไว้ก็ไม่ได้กำไร
ถอนทิ้งก็ไม่ขาดทุน” คนกลุ่มนี้มีชีวิตเหมือนถูกจองจำ
ถูกบังคับให้ทำงานอย่างหนัก ได้รับการปันส่วนอาหารเพียงเล็กน้อย
ไม่ได้รับการรักษาสาธารณสุขที่ดี
นอกจากนี้เขมรแดงยังได้สังหารบรรดาข้าราชการในสมัยสาธารณรัฐกัมพูชารวมทั้งครอบครัวปัญญาชน และชนชาติต่างๆรวมทั้งชนกลุ่มน้อย อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต สันนิษฐานว่าในช่วง 3 ปี 8 เดือน 20วัน ที่เขมรแดงปกครองอยู่นั้น มีประชาชนเขมรบริสุทธิ์ต้องจบชีวิตลง ทั้งหมดประมาณ 1,671,000คน ซึ่งเป็นเหตุการณ์สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวเขมร หรือเรียกว่า เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
นอกจากนี้เขมรแดงยังได้สังหารบรรดาข้าราชการในสมัยสาธารณรัฐกัมพูชารวมทั้งครอบครัวปัญญาชน และชนชาติต่างๆรวมทั้งชนกลุ่มน้อย อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต สันนิษฐานว่าในช่วง 3 ปี 8 เดือน 20วัน ที่เขมรแดงปกครองอยู่นั้น มีประชาชนเขมรบริสุทธิ์ต้องจบชีวิตลง ทั้งหมดประมาณ 1,671,000คน ซึ่งเป็นเหตุการณ์สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวเขมร หรือเรียกว่า เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ประวัติทุ่งสังหาร
จากเหตุการณ์ที่เขมรแดงได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเขมรด้วยกันจำนวนประมาณ
1ล้าน 7แสน คน ทุ่งสังหารแห่งนี้
ถือว่าเป็นสถานที่หนึ่งจากหลากหลายที่ทั่วประเทศกัมพูชาที่รัฐบาลเขมรแดงใช้เป็นที่สังหาร
โดยรัฐบาลเขมรใช้รถบรรทุกนักโทษมาที่นี่วันละหลายสิบเที่ยว
นักโทษเหล่านี้ส่วนใหญ่คือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกยัดข้อหาเท็จ ชาวบ้านธรรมดาไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงและเด็ก ทหารเขมรแดงจะหลอกนักโทษว่า กำลังจะพาไปบ้านใหม่ ที่ทุกคนจะมีข้าวกิน เพื่อหลอกให้นักโทษตายใจจะได้ไม่หลบหนีระหว่างทาง เมื่อรถบรรทุกมาถึงทุ่งสังหารแล้วนักโทษจะถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าและไปคุกเข่าเรียงกันบริเวณขอบปากหลุม
ทหารเขมรแดงก็จะทรมานและตีด้วยอาวุธต่างๆจนตาย พอตายแล้วก็โยนทิ้งลงไปในหลุม ทุ่งแห่งนี้มีต้นไม้สังหารด้วย ทหารเขมรแดงจะจับเด็กๆ ฟาดเข้ากับต้นไม้ให้ตายเพื่อประหยัดกระสุน ณ ทุ่งแห่งนี้มีการเปิดเพลงปลุกใจดังก้องไปทั่วบริเวณเป็นการช่วยกลบเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของนักโทษ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่รำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
นักโทษเหล่านี้ส่วนใหญ่คือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกยัดข้อหาเท็จ ชาวบ้านธรรมดาไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงและเด็ก ทหารเขมรแดงจะหลอกนักโทษว่า กำลังจะพาไปบ้านใหม่ ที่ทุกคนจะมีข้าวกิน เพื่อหลอกให้นักโทษตายใจจะได้ไม่หลบหนีระหว่างทาง เมื่อรถบรรทุกมาถึงทุ่งสังหารแล้วนักโทษจะถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าและไปคุกเข่าเรียงกันบริเวณขอบปากหลุม
ทหารเขมรแดงก็จะทรมานและตีด้วยอาวุธต่างๆจนตาย พอตายแล้วก็โยนทิ้งลงไปในหลุม ทุ่งแห่งนี้มีต้นไม้สังหารด้วย ทหารเขมรแดงจะจับเด็กๆ ฟาดเข้ากับต้นไม้ให้ตายเพื่อประหยัดกระสุน ณ ทุ่งแห่งนี้มีการเปิดเพลงปลุกใจดังก้องไปทั่วบริเวณเป็นการช่วยกลบเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของนักโทษ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่รำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ลักษณะปัจจุบัน
จัดเป็นสถานที่เปิดให้เข้าชมเพื่อรำลึกการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้าย
มีการสร้างเป็นเจดีย์ทางพระพุทธศาสนา ภายในอาคารมีการจัดแสดงหัวกะโหลกของผู้เสียชีวิตและอาวุธที่ใช้สังหารให้ชม
มีที่เก็บเสื้อผ้าของผู้ที่ถูกประหาร ส่วนด้านทางออกจะมีดอกไม้และธูปวางขาย
ราคาประมาณ 15 บาท เพื่อให้นักท่องเที่ยวทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิต
5)พิพิธภัณฑ์ตวลสเลง”
(เรือนจำตวลสเลง หรือ S-21)
ที่ตั้ง
ตั้งอยู่ในกรุงพนมเปญ
ประวัติ
สถานที่เกิดในช่วงเขมรแดงเช่นเดียวกับทุ่งสังหาร ประวัติศาสตร์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ของกัมพูชา ในปี 1975 กองกำลังของพลพต ซึ่งเป็นผู้นำเผด็จการสังคมนิยมในสมัยนั้นได้เข้ามายึดโรงเรียนมัธยม Tuol Svay Prey เขมรแดงเปลี่ยนโรงเรียนแห่งนี้ให้กลายเป็น Security Prison 21 นั่นคือคุกความมั่นคงหมายเลข 21 หรือที่เรียกกันว่า S-21 ซึ่งเป็นศูนย์กักกันที่น่ากลัวที่สุดในประเทศ ระหว่างปี 1975-1978 กองทัพเขมรแดงใช้ที่นี่เป็นที่ทรมานและสังหารคนกว่า 17,000 ชีวิต ร่างของประชาชนชายหญิงและเด็กผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายถูกนำไปยังอนุสาวรีย์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Choeung Ek ที่อยู่ใกล้กัน
สถานที่เกิดในช่วงเขมรแดงเช่นเดียวกับทุ่งสังหาร ประวัติศาสตร์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ของกัมพูชา ในปี 1975 กองกำลังของพลพต ซึ่งเป็นผู้นำเผด็จการสังคมนิยมในสมัยนั้นได้เข้ามายึดโรงเรียนมัธยม Tuol Svay Prey เขมรแดงเปลี่ยนโรงเรียนแห่งนี้ให้กลายเป็น Security Prison 21 นั่นคือคุกความมั่นคงหมายเลข 21 หรือที่เรียกกันว่า S-21 ซึ่งเป็นศูนย์กักกันที่น่ากลัวที่สุดในประเทศ ระหว่างปี 1975-1978 กองทัพเขมรแดงใช้ที่นี่เป็นที่ทรมานและสังหารคนกว่า 17,000 ชีวิต ร่างของประชาชนชายหญิงและเด็กผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายถูกนำไปยังอนุสาวรีย์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Choeung Ek ที่อยู่ใกล้กัน
FUN FACT AT CAMBODIA
1. ประชากรวัยใส
1. ประชากรวัยใส
สาเหตุของการมีประชากรวัยเยาว์มากกว่าวัยอื่นๆเป็นเพราะ“การฆ่าเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง”จุดกำเนิดของเขมรแดงเริ่มมาจาก พอล พต ที่ถือว่าเป็นพี่ใหญ่ของเขมรแดง โดยในปี 1949 พอล พล ได้ไปศึกษาที่ปารีส เขาไม่ได้สนใจการเรียนจนคะแนนย่ำแย่ แต่กลับหมกมุ่นอ่าน “หนังสือก้าวหน้า” ที่เสนอความคิดของลัทธิมาร์กซ์ เข้าได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศสในอีก 2ปีต่อมา มีอุดมการณ์หลักคือการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศสและได้รับการสนับสนุนให้เป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยเนื่องจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ชอบพวกปัญญาชนเท่าไหร่นัก ในปี1953นายพอล พต ได้กลับมากัมพูชา และทำการให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ไปด้วย
จุดเปลี่ยนสำคัญของ “หายนะ” คือในปี1994 ฝรั่งเศสได้ให้เอกราชกับกัมพูชา หลังจากนั้นในปี1965 พอต พล ได้ไปที่โฮจิมินต์เพื่อของความช่วยเหลือจากประเทศคอมมิวนิวต์อย่างเวียดนามให้เข้ามาช่วยเหลือ แต่เวียดนามยื่นข้อเสนอให้พอต พลช่วยเวียดนามในการต่อสู้กับประเทศอเมริกาเสียก่อนแต่กลับผิดหวังเมื่ออเมริกาใช้ระเบิดจัดการพวกคอมมิวนิสต์เวียดนามและชาวกัมพูชาเป็นผู้รับเคราะห์จากการที่พอต พล สนับสนุนคอมมิวนิสต์เวียดนามทำให้มีปล่อยระเบิดมากมายในกัมพูชา
ด้วยความผิดหวัง พอล พตได้เดินทางต่อไปยังจีน และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ของจีนที่เป็นพวกซ้ายจัด เขาประทับใจกับการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนในช่วงแรกอย่างมากจึงไม่น่าประหลาดใจที่เขาจะนำอุดมการณ์ของจีนอย่างเช่นนโยบายการก้าวกระโดดไกล เข้ามาเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาประเทศ เมื่อพอล พต กลับมาที่กัมพูชาอีกครั้งในปี 1966 เหตุการณ์เป็นไปในรูปแบบที่เข้าข้างเขมรแดงเมื่อบรรดาชาวนาลุกฮือขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลของกษัตริย์สีหนุเพราะรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาข้าวได้ถึงแม้พรรคคอมมิวนิสต์จะไม่สามารถหยิบฉวยสถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ได้โดยตรงแต่ก็มีชาวกัมพูชาเข้าร่วมเป็นสมาชิกมากขึ้น ทำให้เขามีฐานอำนาจที่แข็งแรงหลังจากยึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์สหนุในปี1975
เขาได้บังคับประชาชนให้อพยพออกจากเมืองโดยด่วน ให้ข้ออ้างว่าหลบจากการทิ้งระเบิดของอเมริกาแต่มันไม่ใช้เช่นนั้น ช่วงที่เขมรแดงครองอำนาจเพียงสี่ปีคือ 1975 - 1979 ประมาณว่ามีชาวเขมรล้มตายถึง 2 ล้านคน จากประชากรทั้งหมดประมาณ 5.7-7.3 ล้านคน เพราะทนสภาพความเป็นอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินอดอยากยากแค้น โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ทุรกันดาร และอันตราย รวมถึการตายของคนเขมรที่เกิดจากน้ำมือของเขมรแดงด้วย เขมรแดงมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบเหวี่ยงแหเพราะพวกเขามีการกำจัดปัญญาชนทั้งหมด เนื่องจากกลัวว่า กลุ่มปัญญาชนจะกลับมาต่อต้านพวกเขา
แม้แต่คนใส่แว่นก็ถูกสังหารเพราะได้รับการสงสัยว่าอาจจะเป็นปัญญาชนผู้มีความรู้หรือแม้แต่เขมรแดงที่สนับคอมมิวนิวต์เวียดนามมีความคิดที่ต่างก็ถูกสังหารด้วยเช่นกันหลังจากเหตุการรอันเลวร้ายที่สุดของกัมพูชาได้จบสิ้นลงมีผลกระทบมากมายในกัมพูชาเนื่องจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดงที่สังหารพี่น้องร่วมชาติเขากว่าครึ่งประเทศ ทำให้ในทุกวันนี้กัมพูชาเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่มีประชากรวัยเยาว์
ปัจจุบันมีประชากรในวัยชรากัมพูชาส่วนใหญ่นั้นไม่รู้แม้กระทั่งวันเกิดตัวเองหรืออายุที่แน่ชัดของตัวเอง เพราะพ่อแม่ของพวกเขาถูกสังหารตั้งแต่เขายังเด็กจึงไม่ทราบถึงวันเกิดตัวที่แน่ชัดของตัวเอง กว่าครึ่งของประชากรกัมพูชาเป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า15 ซึ่ง68%ของประชากรกัมพูชาคือคนที่อายุน้อยกว่า 30 ปี ในขณะที่สถิติการเกิดมีมากกว่าสถิติการตายถึง 3 เท่า
สาเหตุของการมีประชากรวัยเยาว์มากกว่าวัยอื่นๆเป็นเพราะ“การฆ่าเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง”จุดกำเนิดของเขมรแดงเริ่มมาจาก พอล พต ที่ถือว่าเป็นพี่ใหญ่ของเขมรแดง โดยในปี 1949 พอล พล ได้ไปศึกษาที่ปารีส เขาไม่ได้สนใจการเรียนจนคะแนนย่ำแย่ แต่กลับหมกมุ่นอ่าน “หนังสือก้าวหน้า” ที่เสนอความคิดของลัทธิมาร์กซ์ เข้าได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศสในอีก 2ปีต่อมา มีอุดมการณ์หลักคือการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศสและได้รับการสนับสนุนให้เป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยเนื่องจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ชอบพวกปัญญาชนเท่าไหร่นัก ในปี1953นายพอล พต ได้กลับมากัมพูชา และทำการให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ไปด้วย
จุดเปลี่ยนสำคัญของ “หายนะ” คือในปี1994 ฝรั่งเศสได้ให้เอกราชกับกัมพูชา หลังจากนั้นในปี1965 พอต พล ได้ไปที่โฮจิมินต์เพื่อของความช่วยเหลือจากประเทศคอมมิวนิวต์อย่างเวียดนามให้เข้ามาช่วยเหลือ แต่เวียดนามยื่นข้อเสนอให้พอต พลช่วยเวียดนามในการต่อสู้กับประเทศอเมริกาเสียก่อนแต่กลับผิดหวังเมื่ออเมริกาใช้ระเบิดจัดการพวกคอมมิวนิสต์เวียดนามและชาวกัมพูชาเป็นผู้รับเคราะห์จากการที่พอต พล สนับสนุนคอมมิวนิสต์เวียดนามทำให้มีปล่อยระเบิดมากมายในกัมพูชา
ด้วยความผิดหวัง พอล พตได้เดินทางต่อไปยังจีน และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ของจีนที่เป็นพวกซ้ายจัด เขาประทับใจกับการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนในช่วงแรกอย่างมากจึงไม่น่าประหลาดใจที่เขาจะนำอุดมการณ์ของจีนอย่างเช่นนโยบายการก้าวกระโดดไกล เข้ามาเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาประเทศ เมื่อพอล พต กลับมาที่กัมพูชาอีกครั้งในปี 1966 เหตุการณ์เป็นไปในรูปแบบที่เข้าข้างเขมรแดงเมื่อบรรดาชาวนาลุกฮือขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลของกษัตริย์สีหนุเพราะรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาข้าวได้ถึงแม้พรรคคอมมิวนิสต์จะไม่สามารถหยิบฉวยสถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ได้โดยตรงแต่ก็มีชาวกัมพูชาเข้าร่วมเป็นสมาชิกมากขึ้น ทำให้เขามีฐานอำนาจที่แข็งแรงหลังจากยึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์สหนุในปี1975
เขาได้บังคับประชาชนให้อพยพออกจากเมืองโดยด่วน ให้ข้ออ้างว่าหลบจากการทิ้งระเบิดของอเมริกาแต่มันไม่ใช้เช่นนั้น ช่วงที่เขมรแดงครองอำนาจเพียงสี่ปีคือ 1975 - 1979 ประมาณว่ามีชาวเขมรล้มตายถึง 2 ล้านคน จากประชากรทั้งหมดประมาณ 5.7-7.3 ล้านคน เพราะทนสภาพความเป็นอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินอดอยากยากแค้น โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ทุรกันดาร และอันตราย รวมถึการตายของคนเขมรที่เกิดจากน้ำมือของเขมรแดงด้วย เขมรแดงมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบเหวี่ยงแหเพราะพวกเขามีการกำจัดปัญญาชนทั้งหมด เนื่องจากกลัวว่า กลุ่มปัญญาชนจะกลับมาต่อต้านพวกเขา
แม้แต่คนใส่แว่นก็ถูกสังหารเพราะได้รับการสงสัยว่าอาจจะเป็นปัญญาชนผู้มีความรู้หรือแม้แต่เขมรแดงที่สนับคอมมิวนิวต์เวียดนามมีความคิดที่ต่างก็ถูกสังหารด้วยเช่นกันหลังจากเหตุการรอันเลวร้ายที่สุดของกัมพูชาได้จบสิ้นลงมีผลกระทบมากมายในกัมพูชาเนื่องจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดงที่สังหารพี่น้องร่วมชาติเขากว่าครึ่งประเทศ ทำให้ในทุกวันนี้กัมพูชาเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่มีประชากรวัยเยาว์
ปัจจุบันมีประชากรในวัยชรากัมพูชาส่วนใหญ่นั้นไม่รู้แม้กระทั่งวันเกิดตัวเองหรืออายุที่แน่ชัดของตัวเอง เพราะพ่อแม่ของพวกเขาถูกสังหารตั้งแต่เขายังเด็กจึงไม่ทราบถึงวันเกิดตัวที่แน่ชัดของตัวเอง กว่าครึ่งของประชากรกัมพูชาเป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า15 ซึ่ง68%ของประชากรกัมพูชาคือคนที่อายุน้อยกว่า 30 ปี ในขณะที่สถิติการเกิดมีมากกว่าสถิติการตายถึง 3 เท่า
2. ในน้ำมีปลา
ในกัมพูชามีอาม็อก
เนื่องจากกัมพูชามีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์มากอย่าง
โตนเลสาบ(Tonle
Sap)ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดจากแม่น้ำโขงและแม่น้ำโขงและแม่น้ำสายย่อยๆไหลมารวมกันจนเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่โตนเลสาบนั้นเปรียบเสมือนเป็นสิ่งล่อเลี้ยงสำคัญของชาวกัมพูชาเป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งอาชีพทำกิน หรือแม้กระทั่งที่อยู่อาศัยเปรียได้กับเป็นทะเลสาบแห่งชีวิตของชาวกัมพูชาเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ชาวกัมพูชาจึงผูกพันธ์กับน้ำทำให้มีการใช้สัตว์น้ำประเภท “ปลา” มาใช้ในการประกอบอาหารพื้นเมืองหลากหลายเมนู หนึ่งในนั้นคือ อาม็อก(Amok) ที่ถือได้ว่าเป็นอาหารประจำชาติของคนกัมพูชา มีส่วนผสมของปลาเป็นหลัก กะทิ และเกรือง(ส่วนผสมเครื่องแกงพื้นฐานของกัมพูชา) นำไปนึ่งหรืออบให้สุก ในถ้วยหรือห่อด้วยใบตองลักษณะคล้ายกับห่อหมกของไทย มีอีกชื่อนึกเรียกว่า อาม็อก เตร็ย(Amok Trey)
ด้วยเหตุนี้ชาวกัมพูชาจึงผูกพันธ์กับน้ำทำให้มีการใช้สัตว์น้ำประเภท “ปลา” มาใช้ในการประกอบอาหารพื้นเมืองหลากหลายเมนู หนึ่งในนั้นคือ อาม็อก(Amok) ที่ถือได้ว่าเป็นอาหารประจำชาติของคนกัมพูชา มีส่วนผสมของปลาเป็นหลัก กะทิ และเกรือง(ส่วนผสมเครื่องแกงพื้นฐานของกัมพูชา) นำไปนึ่งหรืออบให้สุก ในถ้วยหรือห่อด้วยใบตองลักษณะคล้ายกับห่อหมกของไทย มีอีกชื่อนึกเรียกว่า อาม็อก เตร็ย(Amok Trey)
ในประเทศกัมพูชาและไทยมีความคิดที่ว่าหัวเป็น “ของสูง”
และเท้าเป็นของ “ของต่ำ” อันเนื่องมาจากคนในโบราณไม่ใส่รองเท้า เพราะอากาศร้อน และมีอาชีพทำไร่ ไถ่นา
ทำให้เท้าเปรอะโคลนตม เท้าจึงไม่ค่อยสะอาด เพราะเท้าเป็นอวัยวะ
ที่อยู่ห่างไกลจากสายตามากกว่าส่วนอื่นๆของร่างกาย
และเท้าเป็นอวัยวะที่ห่างจากมือที่จะถูทำความสะอาดไกลที่สุด
ทำความสะอาดได้ยากเท้าต้องย่ำไปกับพื้นไปตลอดเวลาทำให้มีความคิดว่าเท้านั้นเป็นของต่ำไม่สมควรใช้เท้าในการชี้หรือแสดงสิ่งอื่นโดยการใช้เท้า
หากคุณไปที่ประเทศกัมพูชาต้องระวังการใช้เท้าให้ดีโดยเขาจะตัดสินคุณว่าคุณเป็นคนหยาบคายไม่ให้ความเคารพเขาทันที
ถ้าคุณใช้เท้าแสดงการสื่อสารกับเขา
ประเทศกัมพูชาเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
วัฒนธรรมประเพณีจึงมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ความเชื่อ
และวิถีชีวิตของคนในประเทศ ศิลปวัฒนธรรม ที่เป็นเอกลักษณ์ หากพูดถึงกัมพูชาอีกอย่างนึงที่ต้องนึกถึงเลยก็คือ“ระบำอัปสรา”ถือกำเนิดขึ้นมาได้ไม่นานนักเป็นการแสดงนาฏศิลป์ที่โดดเด่นของกัมพูชา
ซึ่งถอดแบบการแต่งกายและท่าร่ายรำมาจากภาพจำหลักรูปนางอัปสรที่ปราสาทนครวัด ระบำอัปสราถือกำเนิดมาจากจ้าหญิงบุพผาเทวี พระราชธิดาในเจ้าสีหนุ เป็นระบำที่เกิดขึ้นเพื่อเข้าฉากภาพยนตร์เกี่ยวกับนครวัดMarchel Camus ชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า L”Oiseau du Paradis ก็คือ The Bird of Paradise ด้วยท่วงท่าร่ายรำมีเอกลักษณ์ที่ถอดแบบมาจากนางอัปสราในนครวัดถือเป็นอุดมคติของสตรีกัมพูชา ดังนั้นการชุบชีวิตนางอัปสราออกมาเป็น ระบำระดับชาตินั้นมีความหมายในเชิงชาติพันธุ์นิยม(ความรักชาติ)
สำหรับชาวกัมพูชาระบำอัปสราคือจิตวิญญาณและสมบัติอันใหญ่หลวงของชาติเลยก็ว่าได้ ในอดีต ระบำอัปสราจะแสดงเฉพาะในพระราชวังและให้ขุนนางรับชมเท่านั้น แต่ปัจจุบัน เมื่อหน่วยงานการท่องเที่ยวกัมพูชาพัฒนา และได้นำระบำอัปสราออกไปแสดงอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นเอกลักษณ์วัฒนธรรมของประเทศกัมพูชาเพื่อให้นักท่องเที่ยวทุกคนเมื่อเดินทางไปเยือนกัมพูชารับชมการแสดงระบำอัปสรา
ซึ่งถอดแบบการแต่งกายและท่าร่ายรำมาจากภาพจำหลักรูปนางอัปสรที่ปราสาทนครวัด ระบำอัปสราถือกำเนิดมาจากจ้าหญิงบุพผาเทวี พระราชธิดาในเจ้าสีหนุ เป็นระบำที่เกิดขึ้นเพื่อเข้าฉากภาพยนตร์เกี่ยวกับนครวัดMarchel Camus ชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า L”Oiseau du Paradis ก็คือ The Bird of Paradise ด้วยท่วงท่าร่ายรำมีเอกลักษณ์ที่ถอดแบบมาจากนางอัปสราในนครวัดถือเป็นอุดมคติของสตรีกัมพูชา ดังนั้นการชุบชีวิตนางอัปสราออกมาเป็น ระบำระดับชาตินั้นมีความหมายในเชิงชาติพันธุ์นิยม(ความรักชาติ)
สำหรับชาวกัมพูชาระบำอัปสราคือจิตวิญญาณและสมบัติอันใหญ่หลวงของชาติเลยก็ว่าได้ ในอดีต ระบำอัปสราจะแสดงเฉพาะในพระราชวังและให้ขุนนางรับชมเท่านั้น แต่ปัจจุบัน เมื่อหน่วยงานการท่องเที่ยวกัมพูชาพัฒนา และได้นำระบำอัปสราออกไปแสดงอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นเอกลักษณ์วัฒนธรรมของประเทศกัมพูชาเพื่อให้นักท่องเที่ยวทุกคนเมื่อเดินทางไปเยือนกัมพูชารับชมการแสดงระบำอัปสรา
5. 4 ครั้ง ใน 50ปี
กลางศตวรรษที่ผ่านมากัมพูชามีการเปลี่ยนชื่อมาแล้วหลายครั้ง
เหตุผลหลักเลยคือ “การเปลี่ยนรัฐบาล” ครั้งแรกที่มีการเปลี่ยนชื่อประเทศคือ หลังจากกษัตริย์ถูกรัฐประหารและลดอำนาจ สาเหตุหลักของรัฐประหารคือการที่สมเด็จพระนโรดม สีหนุ หันไปสนับสนุนกิจกรรมของเวียดนามเหนือตามแนวชายแดนกัมพูชายอมให้มีมีการขนส่งอาวุธหนักของฝ่ายคอมมิวนิสต์ผ่านพื้นที่กัมพูชาตะวันออกและเศรษฐกิจของกัมพูชาได้รับผลกระทบจากนโยบายของสีหนุที่ประกาศเป็กลางและต่อต้านสหรัฐอเมริกา
นายพลลอน นอลผู้นำการรัฐประหารได้ล้มอำนาจของรัฐบาลเจ้านโรดม สีหนุ ในปี1970เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น“สาธารณรัฐเขมร”และแต่งตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดีและประมุขแห่งรัฐ ต่อมารัฐบาลนายพลลอน นอล หมดอำนาจลง
แม้ว่ารัฐบาลของสาธารณรัฐเขมรจะเป็นรัฐบาลทหารและได้รับการสนับสนุนทางทหารและการเงินจากสหรัฐอเมริกาแต่กองทัพของรัฐบาลนี้กลับอ่อนแอ ไม่ได้รับการฝึกฝนที่พอเพียงทำให้พ่ายแพ้ต่อกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนกัมพูชากองทัพประชาชนเวียดนามและเวียดกงฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามที่เป็นประเทศสนับสนุนหลักมีอำนาจในกัมพูชาและได้เข้ามาเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น
“สาธารณรัฐประชาชนกัมพูเจีย”
แต่เมื่อกัมพูชาตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาอารักขาระหว่างฝรั่งเศส-กัมพูชา ในสมัยพระนโรดม โดยในช่วงแรก ฝรั่งเศสปกครองกัมพูชาโดยไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการภายในมากนักและช่วยค้ำจุนราชบัลลังก์ของกัมพูชาโดยช่วยปราบกบฏต่างๆหลังจากยึดครองเวียดนามได้ทั้งหมด โดยพยายามลิดรอนอำนาจของกษัตริย์ และถูกเปลี่ยนชื่อประเทศอีกครั้งเป็น“รัฐกัมพูชา”และหลังจากฝรั่งเศสยอมมอบเอกราชให้แก่กษัตริย์กัมพูชาในค.ศ.1993 ประเทศนี้ได้เปลี่ยนชื่อกลับเป็นแบบเดิมคือ “ราชอาณาจักรกัมพูชา”
แต่เมื่อกัมพูชาตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาอารักขาระหว่างฝรั่งเศส-กัมพูชา ในสมัยพระนโรดม โดยในช่วงแรก ฝรั่งเศสปกครองกัมพูชาโดยไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการภายในมากนักและช่วยค้ำจุนราชบัลลังก์ของกัมพูชาโดยช่วยปราบกบฏต่างๆหลังจากยึดครองเวียดนามได้ทั้งหมด โดยพยายามลิดรอนอำนาจของกษัตริย์ และถูกเปลี่ยนชื่อประเทศอีกครั้งเป็น“รัฐกัมพูชา”และหลังจากฝรั่งเศสยอมมอบเอกราชให้แก่กษัตริย์กัมพูชาในค.ศ.1993 ประเทศนี้ได้เปลี่ยนชื่อกลับเป็นแบบเดิมคือ “ราชอาณาจักรกัมพูชา”
แหล่งอ้างอิง
- เอ็กซ์พีเดีย. พิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Tuol Sleng.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttps://www.expedia.co.th/
- ไทยรัฐ.ย้อน ‘ตำนานสังหารโหด’- โลกไม่มีวันลืม!! จำคุกตลอดชีวิต ‘นวน เจีย-เขียว สัมพัน’.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://www.thairath.co.th/content/441923
- ประชาไท.พอล พต เขมรแดงผู้จุดไฟนรกในกัมพูชา.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://prachatai.com/journal/2014/01/51483
- ชาญชัย คงเพียรธรรม. “รางวัล 7 มกรา”:กวีนิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เท่านั้นเองหรือ?.สืบค้นเมื่อวันที่18ตุลาคม2561,จากhttps://www.tci-thaijo.org
-ศูนย์ข้อมูลข่าวอาเซียนกรมประชาสัมพันธ์.กัมพูชาภายใต้การปกครองของเวียดนาม(พ.ศ.2522-2534).สืบค้นเมื่อวันที่18 ตุลาคม 2561,จากhttp://www.aseanthai.net
- 14 surprising facts about Cambodia you should learn today .สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://passportsymphony.com/14-surprising-facts-about-cambodia/
-AEC10NEWS.โตนเลสาบ...วิถีอัศจรรย์ของมนุษย์.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttp://www.aec10news.com/
-ASEANCulture.วัฒนธรรมกัมพูชา.สืบค้นเมื่อวันที่18ตุลาคม2561, จาก https://aseanculture.wordpress.com/
- jobdst.ว่าด้วยเรื่อง"ควรทำ"และ"ไม่ควรทำ" ใน 10 ประเทศอาเซียน(ตอนที่ 2).สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม2561,จากhttp://jobdst.com/i
- Nomadicboys. 10 INTERESTING FACTS ABOUT CAMBODIA.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://nomadicboys.com/interesting-facts-about-cambodia/
- Pantip.เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ "พระราชฐานชั้นใน" ของพระบรมมหาราชวัง.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://pantip.com/topic/35737773
- posttoday. โตนเลสาบ วิถีคนบนผืนน้ำแห่งกัมพูชา.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttps://www.posttoday.com/travel/286396
- seasia. 15 Fun Facts About Cambodia You Probably Didn't Know.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561,จากhttps://seasia.co/2018/02/17/15-fun-facts-about-cambodia-you-probably-didn-t-know
- Vocation trip at Cambodia.ทุ่งสังหารเจืองเอ็ก ( CHOEUNG EK ).สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttp://hometheatrefrisco.com/choeung-ek/
- YAHOO.ทำไมคนต่างชาติเขาถึงไม่ถือว่าอวัยวะอย่างขาหรือเท้าเป็นของต่ำ?. สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม2561,จากhttps://th.answers.yahoo.com
- zabzaa.com.อาหารประจําชาติ กัมพูชา อาม็อก (Amok). สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttp://www.zabzaa.com/
-little GREY BOX. 28 Things you absolutely must know before you visit Cambodia.สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://littlegreybox.net/
-TNT MAGAZINE.12 fact you didn’t know about Cambodia. สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จากhttp://www.tntmagazine.com
-Wegointer.เมื่อชาวต่างชาติเขียนบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ “10 วัฒนธรรมแปลกของคนไทย”. สืบค้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561, จาก https://www.wegointer.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น